เรือนในภาคเหนือ
เรียกกันว่า "เฮือน" รูปแบบของเรือนไทยภาคเหนือ ได้รับอิทธิพลทางล้านนาหาก
แบ่ง
ประเภทเรือนไทยภาคเหนือ ตามลักษณะของวัสดุก่อสร้างและรูปทรง แบ่งได้ดังนี้
เรือนไม้บั่ว
คำว่าไม้บั่ว
คือไม้ไผ่มักพบเห็นเรือนประเภทนี้ในท้องถิ่นชนบทส่วนที่อยู่นอกเมืองชาวนาชาวไร่จะใช้
เรือนประเภทนี้กันทั่วไปเนื่องจากก่อสร้างง่ายราคาถูกเป็นเรือนชนบทที่พบเห็นตั้งแต่เป็นห้างเฝ้าทุ่งซึ่งมีประโยชน์
ใช้งานตามฤดูกาลในภาคกลางเรียกเรือนประเภทนี้ว่า เรือนไม้ผูก นั่นเอง
เรือนชนิดนี้นิยมใช้ไม้เนื้อแข็งทำเสา
คาดและตอม่อ ไม้ไผ่ทุกชนิดของภาคเหนือมีคุณสมบัติพิเศษ คือ เนื้อ
แกร่งคงทน และมีขนาดใหญ่กว่าไม้ไผ่ภาคอื่น ๆ ส่วนหลังคา ตง พื้นใช้ไม้ไผ่ฝาเป็นฝาไม้ไผ่ฝาส่วนมากขัดด้วยแตะ
แต่แตะเป็นฟากสับนำมาขัดเป็นลายหยาบ ๆ ทั้งทางตั้งและทางนอน หรือใช้ไม้ซางสานเป็นลวดลาย
เรียก"ฝาลายอำ"
ถ้าต้องการความอบอุ่นก็จะใช้ตับคาหรือตับตองตึงกรุเป็นฝาส่วนเครื่องมุงหลังคาใช้ "คาหรือตองตึง" เรียกมุงคามุง
ตองตึงมุงแฝกหรือใบตองตึง(ใบพลอง)การมุงคาหรือมุงตองตึงต้องสัมพันธ์กับฝาด้วย
ถ้าฝาเป็นคาหลังคาก็ต้องมุงคา
เช่นเดียวกับฝาเป็นตองตึง หลังคาก็ต้องมุงด้วยตองตึง นิยมใช้ตอก และหวายเป็นตัวยึดส่วนต่าง
ๆ ของเรือนเข้าด้วย
กันตามวิธีผูกมัด เป็นเรือนขนาดเล็กและถือว่าเป็นเรือนแบบดั้งเดิม เพราะวิธีการก่อสร้างเป็นระบบวิธีเก่าแก่ที่สุด
อย่างหนึ่งใบตองตึงนั้นหาได้ง่ายทางภาคเหนือนิยมมุงหลังคา และมีการประกอบเป็นตับใบตองตึง ซึ่งทำเป็นสำเร็จ
รูปอุตสาหกรรมในครัวเรือนเรือนไม้จริง
เรือนกาแลเป็นเรือนไทยที่คนทั่วไปเห็นแล้วชื่นชมในความเป็นประณีตศิลป์ทาง
สถาปัตยกรรมของภาคเหนือ เรือนกาแล จะเป็นเรือนที่อยู่อาศัยของ
คหบดี หรือเจ้านาย
เป็นเรือนที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของบ้านพักอาศัยแบบล้านนาอย่างชัดเจน ชื่อเรือนกาแล
มาจากนิยมสร้างไม้กาแลแกะสลักไว้บนสุดของหน้าจั่ว ด้วยลวดลายและความอ่อนช้อย
ของฝีมือช่างนี้เองที่กลายเป็นเสน่ห ์ ของเรือนกาแลมาทุคยุคทุกสมัย
|
|
 |
เรือนสมัยกลาง
เป็นเรือนไม้จริงซึ่งมีวัฒนาการมาจากเรือนกาแลวิวัฒนาการของเรือนไทย
ล้านนาที่พัฒนามาจากเรือนกาแลมีหลากหลายรูปแบบ และชาวบ้านเรียก
เรือนเหล่านี้ว่า "เฮือนสมัยก๋าง" หรือเรือนสมัยกลางซึ่งเรือนที่มีความโดด
เด่น คือเรือนทรงสะละไนหรือเรือนประเภทประดับลายฉลุไม้ เป็นเรือนที่
เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม และวัฒนธรรมที่ชาวล้านนา
ได้รับมาจากภายนอกลักษณะจะแปรเปลี่ยนไปตามสมัยนิยมโดยนำวิธีการตก
แต่งลายฉลุไม้มาตกแต่งทรงจั่วหลังคาและเชิงชายประเภทเรือนภาคเหนือ
แบบดั้งเดิม
|
โคลงโบราณเรื่องท้าวฮุ่งท้ายเจือง
กล่าวถึงสภาพชุมชนเมืองในอดีตของขุนเจือง แบ่งเรือนพักอาศัยตาม
ชนชั้นทางสังคม เป็น เรือนพักอาศัยของชนชั้นระดับเจ้า หรือ กษัตริย์
เรียก โฮงฮาช หรือ โรงราช และ หอ สำหรับ
หอที่ช่อฟ้าปิดทองทั้งหลัง เรียก หอคำ
เรือนพักอาศัยของชาวบ้าน
แบ่งตามชนิดของวัสดุปลูกสร้างเป็น 2 ประเภท คือ เรือนไม้จริงและเรือนไม้บั่ว
หรือเรือนไม ้ผูกกับเรือนไม้สับในภาคกลาง คนโบราณเรียกเรือนไม้จริงว่า
" เรือนสุบขื่อสุบแป" เรียกเรือนไม้บั่วว่า
"เรือนมัดขื่อมัดแป" คำว่า ไม้บั่วหมายถึงไม้ไผ่
คำว่า สุบขื่อสุบแป หมายถึง การสวมแปด้วยการบากไม้ยึดขื่อและแป และโครงสร้างเรือนส่วนต่าง
ๆ ประกอบไว้ด้วยกันอย่างมั่นคงส่วนมัดขื่อมัดแป คือ การยืดองค์ประกอบต่าง
ๆ ของ
เรือนไว้ด้วยการผูกมัดบ้านที่สมบูรณ์
คติทางเหนือถือว่าถ้าเป็นบ้านที่สมบูรณ์แล้วจะต้องประกอบไปด้วย บ่อน้ำ ครกกระเดื่อง ยุ้งข้าว(หรือที่
เรียกว่าหลองข้าว)และครัวไฟ
เรือนพักอาศัยในภาคเหนือ มักกั้นด้วยรั้วไม้ไผ่โปร่ง ๆ บางบ้านใช้รั้ว
ต้นไม้บอกเขต
เช่น ใช้ต้นชา เป็นต้น
การแบ่งส่วนใช้สอยในบ้านไม่ว่าจะเป็นเรือนประเภทใด
จะต้องมีส่วนประกอบสำคัญ ๆ อาทิ บันไดและ
เสาแหล่งหมาตัวบันไดจะหลบเข้าอยู่ใต้ชายคา เสาแหล่งหมา จะเป้นเสายาวตั้งลอยรับน้ำหนักโครงสร้างหลังคา
เติ๋น
พื้นที่ใช้งานอเนกประสงค์
เป็นเนื้อที่กึ่งเปิดโล่ง
ร้านน้ำ
หรือ ฮ้านน้ำ ถ้าเป็นเรือนใหญ่มีชานโล่ง
ร้านน้ำ จะอยู่มุมใกล้ทางบันได หรืออยู่ใกล้ครัว
ห้องนอน
มีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ใช้งานอื่นฝาล้มออกมีแผ่นไม้กั้นกลางเรียกว่าไม้แป้นต้องซึ่งจะช่วย
ลดความสั่นไหวของพื้นห้องนอนไม่รบกวนผู้ที่กำลังพักผ่อนอยู่
ระเบียงทางเดินและชานเรือน
ส่วนใหญ่มักเปิดโล่งตามแนวยาวขวางกับจั่วเรือนซึ่งเรือนทางเหนือ
ถือเอาจั่วเรือนเป็นด้านสำคัญ
ห้องครัว
อาจอยู่สุดทางเดิน แยกเป็นห้องเล็ก
ส่วนที่จะตั้งเตาไฟจะยกขึ้นมาเป็นแท่นไม้อัดดินแน่น

|